Bumblebee ภาพยนตร์เรื่องหลัก ของพระรองจอมขโมยซีน

Bumblebee มาจากการที่สร้างทรานฟอร์เมอร์มาแล้วอย่างหลายภาค แต่นับวัน แต่ละภาคที่ทำออกมา กลับได้รับความนิยม ลดน้อยลงมาเรื่อย ๆ
Bumblebee ในครั้งนี้ จึงใช้การเล่าเรื่องแบบใหม่ ผ่านตัวละครพระรอง ที่เป็นที่ชื่นชอบ ไม่แพ้พระเอกของเรื่องเลย อย่าง บัมเบิ้ลบี แต่จะเป็นการเล่าเรื่อง ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน Transformers เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ และรีเมคกลาย ๆ หลังจากที่ภาคก่อน ที่ทำออกมา และได้ผลตอบรับออกมา ไม่ดีทั้งในแง่คำวิจารณ์ และรายได้
โดยในภาคนี้ สร้างเพื่อมาจุดประสงค์ อย่างการอธิบายเหตุการณ์ ว่าทำไมตัวของ บัมเบิ้ลบี ถึงต้องมายังโลกมนุษย์ ซึ่งหากใครที่ยังไม่เคยดู Transformers มาก่อนเลย ก็สามารถที่จะดูภาคนี้ ได้รู้เรื่องเหมือนเดิม
และหากเริ่มไล่ดู จากภาคนี้ก่อน ก็จะสามารถเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยที่ในภาคนี้นั้น ได้ผู้กำกับอย่าง ทราวิส ไนท์ ผู้กำกับหนังอนิเมชั่น แฟนตาซีชื่อดัง อย่างเรื่อง Kubo and the Two Strings มานั่งแท่น เป็นผู้กำกับ
พร้อมด้วยนักแสดงอย่าง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ นักแสดง และนักแต่งเพลงชื่อดัง จอร์จ เลนเดบอร์ก จูเนียร์ นักแสดงจากหนังมาเวล เรื่อง Spider-Man: Homecoming และ จอห์น ซีนา นักแสดง และนักมวยปล้ำอาชีพชื่อดัง
เรื่องราวเริ่มขึ้น โดยการเล่าย้อนไปในอดีต หลังจากเกิดเหตุการณ์ การต่อสู้กันระหว่างเหล่า ดีเซฟติคอน กับกลุ่มของ ออโตบอท ในสงครามไซเบอร์ตรอน ซึ่งออปติมัสไพร์ม หัวหน้ากลุ่ม แห่งเหล่าออโตบอท กำลังจะเสียท่า แต่เขาก็ได้ส่ง เหล่าออโต้บอทไป ตั้งหลักยังดาวต่าง ๆ
ซึ่งตัวของ B-127 ก็มายังโลก เพื่อสร้างฐานกองกำลัง ขึ้นมาใหม่ และให้ทำหน้าที่ ในการปกป้องโลก ซึ่งในระหว่างที่เขานั้นอยู่ที่โลก เขาก็เสียท่า ถูกซุ่มโจมตี จนทำให้ระบบ ของความทรงจำ และระบบเสียง ของเขาพัง
ถึงแม้จะสามารถกำจัดศัตรูไปได้ แต่ตัวของ B-127 ก็ได้รับบาดเจ็บมากเช่นกัน จึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนร่าง เป็นรถเต่าสีเหลือง เพื่อซ่อนตัว และหลบซ่อนตัวอยู่ในกองขยะ ถัดมาในปี 1987 ชาร์ลี วัตสัน (รับบทโดย เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) เด็กวัยรุ่นอายุเพียงสิบแปดปี ก็ได้พบเข้ากับรถเต่าสีเหลืองคันนั้น
และได้พยายาม ที่จะซ่อมแซมรถคันนั้น แต่กลับเผลอเปิดสัญญาณการใช้งาน ในตัวของ B-127 ขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ และนั้นเอง ก็ทำให้เหล่า ดีเซฟติคอน มุ่งหน้ามายังโลก เพื่อจัดการกับ B-127
Bumblebee เป็นการเสนอแนวทางใหม่ ๆ ที่ฉีกออกจากรูปแบบเดิม ๆ อย่าง Transformers ในภาคที่ผ่าน ๆ มา
มีการพัฒนา ในเรื่องบท และการเล่าเรื่องเสริม มาเติมเต็มข้อสงสัย ในภาคก่อน ๆ ที่ยังเป็นที่สงสัย กันในหลาย ๆ เรื่อง เช่นเรื่องที่ว่าบี มาที่โลกได้อย่างไหร่ มาเมื่อไหร่ และมาทำไม รวมทั้งอดีตต่าง ๆ ของบัมเบิ้ลบี ทั้งเรื่องของชื่อของเขา ว่าทำไมถึง มีชื่อว่าบัมเบิ้ลบี
โดยสิ่งให้ความรู้สึก ในการดูหนังเรื่องนี้ แตกต่างจากภาคก่อน ก็คือการใส่ใจ ในตัวละครมากขึ้น มุมมอง และแนวทางใหม่ ๆ ที่นำเสนอ ไม่ได้เน้นฉากแอคชั่น ระเบิดกระจาย เหมือนอย่างภาคก่อน ๆ ให้ความรู้สึกหลังจากที่ดูจบ ว่าเป็นหนังที่นำเสนอ ไปที่การเล่าเรื่อง มากกว่าฉากแอคชั่น ล้างผลาญ
อาจจะไม่ได้เหมาะ กับผู้ชมที่ต้องการจะดูฉากแอคชั่น หุ่นยนตร์ต่อสู้กัน ระเบิดกระจายทั้งเรื่อง ตามสูตรของ ภาคก่อน ๆ ที่ผ่านมาทุกภาค เพราะตัวหนังลดสเกล ในเรื่องของฉากแอคชั่นต่าง ๆ ลงจากภาคก่อน ค่อนข้างเยอะ
เพราะงบประมาณ ที่ถูกลดลง เหลือประมาณ 135,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากการที่ภาคก่อนไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรด้วย แต่กลับทำให้ฉากแอคชั่นต่าง ๆ ให้ดูได้เข้าใจง่าย มากกว่าเดิมเยอะ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบ เรื่องของหุ่นยนตร์ ก็ถือว่ายังคุ้มค่า ต่อค่าตั๋วอยู่เหมือนเดิม
ตัวหนังสามารถนำเสนอ ในมุมของความไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก ของตัวบัมเบิ้ลบี ได้อย่างน่ารัก และมีเสน่ห์มาก ดันให้พระรองตัวนี้ ขึ้นกลายเป็นตัวหลักได้อย่างดี ในการเล่าเรื่อง ยังคงพร็อตเรื่อง เรื่องของความสัมพันธ์ ระหว่างตัวหุ่นยนตร์กับมนุษย์ เช่นเดิมกับภาคก่อน ๆ
แต่เรื่องความลึกซึ้ง และการใส่ใจ ในบทต่าง ๆ มีมากขึ้น มีการพัฒนา ของตัวละครหลัก ๆ ให้ค่อย ๆ เติบโตขึ้น จากการผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึก อิ่มเอมและอุ่นใจ อย่างที่ไม่เคย มีให้เห็นมาในภาคก่อน มีการเล่นมุกตลก แทรกเข้ามาบ้างเป็นระยะ ให้อารมณ์ถึงความเป็นหนังฟีลกู๊ด อยู่เหมือนกัน
และยังมีการเปลี่ยนเรื่องเพศของ มนุษย์ ที่จะใช้เป็นตัวเล่าเรื่อง คู่กับหุ่นยนตร์ จากที่ในภาคก่อน ๆ จะใช้ผู้ชายเป็นหลัก แต่ในภาคนี้ กลับใช้ผู้หญิงมาแสดงแทน ที่ให้ความรู้สึก ถึงความอ่อนโยน และแสดงความรู้สึก ได้ดีกว่า นับว่าเป็นการพลิกบทบาท เป็นอย่างมาก กับแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องนี้
เพราะเดิมทีตัวละครเพศหญิงนั้น แทบจะไม่มีบทบาทเลย ในภาคเก่า ๆ โดยในแง่ของคำวิจารณ์ ก็ได้รับคำวิจารณ์ ในแง่บวก มากกว่าภาคก่อน จนนับว่าเป็น หนังทรานฟอร์เมอร์ ที่ดีที่สุดภาคหนึ่ง
และด้วยการที่เรื่องราวทั้งหมด ใช้การเล่าเรื่องในช่วงยุค 80s จึงมีการนำเสนอจุดเด่นต่าง ๆ ในยุคสมัยก่อน เข้ามาผสมผสานกับการเล่าเรื่อง ทั้งเรื่องของวัฒนธรรม เสื้อผ้า หน้าผม วิวเมือง และเพลงเพราะ ๆ ได้อย่างกลมกลืน และเพิ่มเสน่ห์ ให้กับภาพยนตร์ ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งการใช้ CG ในฉากต่าง ๆ ก็ยังถือว่าทำได้ดี และยังอลังการเหมือนเดิม สรุปก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการกลับมาอีกครั้ง ของแฟรนไชส์ ภาพยนตร์แอคชั่นหุ่นยนตร์ชชื่อดัง ที่มีการเปลี่ยนแนวทาง ออกไปจากภาคก่อน ถึงแม้จะลดฉากแอคชั่น ลงไปบ้าง
แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ และสนุกตามแบบ ของทรานฟอร์เมอร์เช่นเดิม ซึ่งการเล่าเรื่อง ยังคงดูได้รู้เรื่อง และเป็นภาคที่ทำให้ บัมเบิ้ลบี ได้มารับบท กลายเป็นพระเอกของเรื่อง อย่างเต็มตัว Ready Player one
และแสดงให้เห็นถึงมุมน่ารัก ๆ ของหุ่นยนตร์ตัวนี้ อย่างมากมาย หากใครผิดหวัง กับการออกทะเล จนกู่ไม่กลับ อย่างภาคก่อนหน้านี้ Bumblebee ก็คงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ที่จะช่วยลบภาพจำ และกู้ศรัทธากับหนัง ของทรานฟอร์เมอร์ ให้กลับมาได้เป็นอย่างดี ดูบอล